“…หากเป็นอย่างนี้ ผมไปขายเต้าฮวยดีกว่า”
คำพูดข้างต้นดูจะกลายเป็นวลีติดปากผมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา …พูดบ่อยพูดซ้ำจนกระทั่งคนรอบตัวรวมถึงนักศึกษาที่ผมเคยสอนต่างพากันจดจำและคิดเป็นจริงเป็นจังว่า ในวันหนึ่งผมจะเปิดร้านขายเต้าฮวยจริง ๆ
อันที่จริงแล้วคำพูดดังกล่าวมีที่มาจากอาจารย์ของผมซึ่งท่านมักจะพูดเวลาหงุดหงิดรำคาญใจต่อแวดวงวิชาการ อาทิ ยามท่านรู้สึกเบื่อหน่ายต่อวงการนี้ที่ไม่ช่วยกันสร้างบรรยากาศให้เกิดการสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรือขวนขวายต่อการศึกษาวิจัยในประเด็นต่าง ๆ ที่ถูกมองข้ามและยังมีช่องว่างอยู่มาก ท่านก็มักเปรยว่า หากเรายังทำงานกันเฉื่อยชาเช่นนี้ “…ผมลาออกไปขายเต้าฮวยดีกว่า”
ผมได้ยินบ่อยได้ยินซ้ำจนเริ่มจะติดเอามาใช้บ้าง แต่ประเด็นก็คือ …ผมดันชอบเต้าฮวยจริง ๆ …ชอบเอามากเสียด้วย
ก็ไม่รู้ด้วยเหตุอะไรที่ผมชอบเต้าฮวยเป็นพิเศษ จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เวลาพวกเราเหล่าลูกพี่ลูกน้องมาอยู่รวมกัน ณ บ้านของป้าย่านลาดพร้าวตอนปิดภาคฤดูร้อน พอตกค่ำกิจกรรมรวมหมู่ที่พี่ใหญ่ของพวกเรามักทำหลังกลับจากทำงาน คือ พาเหล่าน้อง ๆ ไปหาอะไรทาน ณ ตลาดโชคชัยสี่ …หลังเสร็จจากของคาวก็ต้องตามด้วยของหวาน ตัวเลือกครั้งนั้นก็มี 2 ข้อ นั่นคือ เต้าทึง กับ เต้าฮวย …แน่นอนว่าประชากรส่วนใหญ่ย่อมจะเลือกข้อแรกเพราะมันหวานและเย็น แถมมีเครื่องเคราให้เลือกมากมาย …แก๊งเต้าทึงก็จะมีพี่ใหญ่ของเรานำทีมพาไป ส่วนพี่รองซึ่งชอบของร้อนอย่างเต้าฮวยกลับมีผมเป็นสมาชิกร่วมทีมเพียงคนเดียว
และความชอบในเต้าฮวยก็ไม่ได้หมายถึงว่า ผมจะต้องตามล่าหาเต้าฮวยมารับประทานให้ได้ทุกวัน …แต่มันเป็นความชอบลึก ๆ ในใจซึ่งหาสาเหตุไม่ได้ …เพียงแต่หากเดินทางผ่านไปที่ไหนและพบเห็นร้านขายเต้าฮวย ผมก็ต้องนึกอยากรับประทาน
ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมรู้สึกว่า เต้าฮวยเป็นอาหารที่อบอุ่น …เป็นของทานที่ชวนให้คิดถึงบ้าน …ความหอมของเต้าหู้นิ่ม ๆ และความหวานปนเผ็ดร้อนของน้ำขิงมักทำให้ผมนึกถึงวัยเด็ก …ผมเป็นเด็กไม่แข็งแรง ป่วยไข้อยู่บ่อย ๆ จากโรคภูมิแพ้ ทั้งอากาศและฝุ่น …และการได้ทานเต้าฮวยก็ช่วยผมได้มาก …อาการคันจมูกฟุดฟิดและลุกลามเป็นน้ำมูกไหล ต่อด้วยไข้ขึ้นนั้น การได้ทานน้ำขิงหอม ๆ ร้อน ๆ มันช่วยให้จมูกโล่งขึ้นมาก ส่วนเต้าฮวยนิ่ม ๆ ก็ทำให้รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด
สมัยเรียนปีหนึ่ง ณ ศูนย์รังสิต ผมพักอาศัยอยู่กับญาติแถว ๆ “ตลาดใน” ย่านรังสิต หลังกลับจากเรียนผมก็มักจะเอาจักรยานไปปั่นเล่น ผ่านไปเห็นร้านขายเต้าฮวยของอาเฮียและอาซ้อตั้งอยู่ข้างทาง ผมก็แวะรับประทานเป็นประจำ นั่งคร่อมจักรยานพร้อมกับรับถ้วยเต้าฮวยร้อน ๆ …ตักกินไปเหงื่อก็แตกไปด้วยความร้อน
ครั้งย้ายเข้าไปเรียนท่าพระจันทร์ ผมก็มักอาศัยรถ ปอ.44 จากย่านสะพานควายเพื่อไปเรียน ครั้งหนึ่งระหว่างทางที่รถแล่นผ่านย่านตลาดสะพานขาว ผมก็เหลือบเห็นร้านเต้าฮวยขายอยู่ด้านหน้าตลาด …ด้วยความที่รถติดมาก ผมก็ลงจากรถเมล์ไปนั่งซดเต้าฮวยร้อน ๆ หน้าตาเฉย …และหลังจากนั้นก็มักจะแวะทานเป็นประจำ …จำได้ว่าร้านนั้นจะขายรังนกคู่กันด้วย …ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมร้านขายเต้าฮวยมักจะขายรังนกราวกับของคู่กัน
…นึกไปนึกมาก็พบข้อสังเกตอีกประการว่า คนขายเต้าฮวย (สมัยนั้น) มักจะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน มีบุคลิกหน้าตาดูอบอุ่น ใจเย็น และดูใจดี (ในสายตาผม) …ไม่ค่อยพบเห็นคนขายเต้าฮวยขึ้โวยวายและอารมณ์ร้อน
ส่วนโรงอาหารธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ฝั่งตรงข้ามคณะรัฐศาสตร์ซึ่งเราเรียกกันติดปากว่า “โรงอาหารเสด” (ย่อมาจากโรงอาหารใต้ตึกคณะเศรษฐศาสตร์) ที่บรรยากาศแสนจะมืด ๆ ทึม ๆ ก็จะมีร้านเต้าฮวยขายอยู่ด้วย …คนขายเป็นสุภาพสตรีดูใจดีและน่ารัก ใส่แว่นสายตากรอบกลม ๆ สีดำอันใหญ่ ๆ มีหม้อและกระบะไม้ใส่ของวางเรียงราย ขนาบด้วยโหลแก้วขนาดใหญ่ที่บรรจุไว้ด้วยปาท่องโก๋ทอดอยู่แน่นเต็ม …แน่นอนว่า ผมเองฝากตัวเป็นลูกค้าประจำ
หลังเรียนหนังสือจบผมก็ไม่ค่อยได้ทานเต้าฮวยบ่อย ๆ เหมือนเคย …และร้านเต้าฮวยเองก็ดูเหมือนจะค่อย ๆ หายไปจากสังคมไทย …คนรุ่นใหม่คงชอบไอศกรีมหรือขนมรูปแบบใหม่ ๆ มากกว่า อาหารการกินที่เคยนิยมในยุคสมัยหนึ่งก็ค่อย ๆ หายไปในอีกยุคสมัยหนึ่ง …เต้าฮวยก็ไม่ต่างจากข้าวเหนียวสังขยา ขนมหรือของทานเล่นจำนวนมาก มันค่อย ๆ หายไป …ส่วนที่ยังมีขายอยู่บ้างก็ไม่เหมือนกับยุคเก่าก่อน …คือแค่ทำขายไปอย่างนั้น เต้าหู้ก็เหมือนกับเจลลาตินสำเร็จรูป น้ำขิงก็เหมือนกับน้ำหวาน ส่วนปาท่องโก๋ทอดก็เหม็นหืนน้ำมัน …มันขาดแคลนจิตวิญญาณของเต้าฮวยซึ่งมีความอบอุ่นจากความหอมและร้อนในน้ำขิง มีความนุ่มนวลจากรสสัมผัสของเต้าหู้นิ่ม ๆ และความสดชื่นจากน้ำตาลทรายแดงที่นอนก้นบนชามเซรามิคแตกลายงา (ว่าไปนั่น)
…เต้าหู้สีขาว ๆ และนุ่มนวลดูจะหายไปจากชีวิตผมอยู่หลายปี …และมันก็กลับมาอีกครั้งตอนผมต้องไปเรียนหนังสือที่ญี่ปุ่น
แม้นว่าอู่วัฒนธรรมเต้าหู้จะมาจากจีน …แต่วัฒนธรรมเต้าหู้ในญี่ปุ่นก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน …เต้าหู้นับเป็นอาหารที่ยังคงได้รับความนิยม เป็นอาหารในชีวิตประจำวันที่ปักหลักอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน แถมยังถูกพัฒนาให้สื่อสารกับคนรุ่นใหม่ ๆ ได้อย่างหลากรูปหลากรสและน่าตื่นตาตื่นใจ
ในระยะปีแรกที่ผมอาศัยอยู่บนภูเขาย่านสุมิโยชิ (Sumiyoshi) ก็มักจะต้องมาแวะเปลี่ยนรถเมล์และจับจ่ายซื้ออาหารแถว ๆ สถานีรถไฟฮันชิน-มิคาเกะ (Hanshin Mikage) ซึ่งนับเป็นชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีร้านรวงมากหลายกระจายตัวรอบสถานีรถไฟ ห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาเก็ตก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ผมชอบไปเดินย่านตลาดเก่าตามแนวถนนใต้รางรถไฟ …แม้ว่าร้านรวงจะดูเงียบเหงา จำนวนไม่น้อยก็ปิดตัวไปมาก ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นผู้สูงอายุหรือลูกค้าประจำที่คุ้นเคยกับเจ้าของร้าน …แต่ร้านหนึ่งที่ยังคงคึกคักและกิจการยังไปได้ดีก็คือ ร้านขายเต้าหู้ …เป็นร้านเล็ก ๆ มีกระบะอลูมิเนียมอันใหญ่บรรจุน้ำใส ๆ อยู่เต็ม โดยมีเต้าหู้สดสีขาว ๆ ก้อนใหญ่ ๆ วางเรียงรายนอนก้นเพื่อรอหยิบจับใส่ถุงให้เหล่าลูกค้าประจำ …มันเป็นเต้าหู้แห่งความทรงจำจริง ๆ …หลังจากลองซื้อมารับประทานเป็นครั้งแรก ผมแทบจะน้ำตาไหล (…นี่ก็เกินไป) มันนุ่ม มันหอม มันมีรสสัมผัสที่บอกไม่ถูก …ไม่ต้องใส่อะไร เพียงแค่ตักทานแบบทื่อ ๆ ตรง ๆ มันก็งดงามตามท้องเรื่อง
ในยามเข้าฤดูใบไม้ร่วงแรกของชีวิตการเรียนที่นั่น ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยววัดธารน้ำใส (Kiyomizu-dera) ณ เมืองเกียวโต …หลังจากเดินชมความงามของสถาปัตยกรรมไม้ที่น่ามหัศจรรย์ สลับกับการชื่นชมความงามของการจัดสวน ใบไม้ที่หลากสี และเหล่าตะไคร่น้ำที่ยังเขียวชอุ่มอยู่ตามโคนไม้และก้อนหิน …ผมและเพื่อนชาวญี่ปุ่นก็เดินลงมาตามแนวไหล่เขา และพักเหนื่อยด้วยการแวะร้านข้างทางที่สร้างกระท่อมไม้ไผ่ยกพื้นแบบง่าย ๆ ให้เราเข้าไปนั่งนอนคลายความเมื่อยล้า …เมนูหลักของร้านแห่งนี้มีเพียงเต้าหู้แสนนุ่มนิ่ม ราดด้วยซุปใสร้อน ๆ จัดวางมาบนชามเซรามิคสีสวย และมีชาอุ่น ๆ หอม ๆ จิบคู่เคียงกัน …มันบรรเจิดมาก
…คงนึกภาพได้ไม่ยากว่า สามปีของการร่ำเรียน ณ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ผมลุ่มหลงในเต้าหู้มากขนาดไหน
กลับมาเริ่มทำงาน ณ เมืองไทยเมื่อสิบปีก่อน เต้าหู้ก็หายไปจากชีวิตผมอีกครั้ง …จะโผล่มาบ้างก็ยามที่ผมมีโอกาสกลับไปญี่ปุ่น หรือไม่ก็พบร้านอาหารจีนหรือร้านอาหารญี่ปุ่นบางร้านในไทยที่ทำเต้าหู้ได้ดีและอร่อย …แต่การหาเต้าหู้หรือเต้าฮวยดี ๆ นั้น ก็ไม่ง่ายเหมือนเก่าก่อน
…กระทั่งเมื่อประมาณสามปีก่อน (มั้ง) อาจารย์ที่เคารพรักของผมก็ชักชวนเหล่าบรรดาสานุศิษย์ไปรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน ณ โรงแรมแห่งหนึ่งย่านรัชดาภิเษก …โรงแรมแห่งนี้นับเป็นโรงแรมเก่าแก่ (เก่าเฉพาะในย่านรัชดาฯ แต่อาจอายุไม่มากเมื่อเทียบกับโรงแรมในย่านอื่น ๆ) …แม้ว่าอาหารบุฟเฟ่ของโรงแรมนี้จะมีกุ้ง ปู หรืออาหารอื่น ๆ ที่ชวนตื่นตาตื่นใจตามประสาบุฟเฟ่สไตล์ …แต่ความดีงามของโรงแรมนี้กลับเป็นอาหารในแบบเก่า ๆ …เป็นข้าวต้มจืดธรรมดา ๆ ที่มีอาหารประกอบในแบบจีนที่หารับประทานได้ยากแล้วในยุคปัจจุบัน …คืออาหารลักษณะนี้ยังหาทานได้ในร้านข้าวต้มทั่วไป แต่การปรุงและรสชาติแบบโรงแรมแห่งนี้มันหาได้ยากแล้ว …มันเป็นรสชาติของวัยเด็กที่ผมหลงลืมไปนาน …มันดีจริง ๆ
แต่ไฮไลท์ของงานนี้อยู่ที่ซอกมุมหนึ่งของแนวโต๊ะที่จัดวางอาหารไว้เรียงราย …ณ ปลายสุดของเคาเตอร์อาหาร ผมเหลือบเห็นถังไม้สึดำ ๆ ขนาดใหญ่มีฝาปิดโลหะวางอยู่ด้านบน พอเปิดออกก็มีควันจาง ๆ ลอยออกมา …มันคือเต้าหู้สด ๆ สีขาวนวล ผมรีบหยิบทัพพีไม้ตักมันใส่ชาม …ข้าง ๆ กันผมก็หยิบกระบวยตักน้ำขิงหอมกรุ่นเติมเข้าไป …ถัดออกไปมีชามใส่น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว และไซรัปวางไว้ให้เราเลือกความหวานในแบบที่เราชอบ และระดับความหวานที่เราเลือกได้เอง
…จบ
Tuesday, August 27, 2019: 11.00@Bangplub